วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553


บทสุดท้ายทริปชาว-บาหลี มิตรภาพที่ยืนยาว

25/2/10 KUTA


...ผมเองห่างหายจากเวปนี้ไปนาน ก็ต้องขออภัยเพื่อนๆทุกท่านที่เคยติดตามอ่านแต่จู่ๆผมก็หยุดเอาเสียดื้อๆ ไม่มีคำแก้ตัวครับ เอาเป็นว่า ตอนนี้ผมกำลังบิ๊วอารมณ์ นึกถึงมิตรภาพความสุขและประสบการณ์ที่เพิ่งผ่านมาไม่นานอีกครั้ง

... ผมเคยเกริ่นๆตั้งแต่ก่อนจะถึงบาหลีแล้วว่า ถ้าจะพูดหรือนึกถึงบาหลีแล้ว ภาพแรกที่เห็นมันคงจะเป็นเมืองแห่งวัฒนะธรรมที่ผมเห็นในโฆษณาการท่องเที่ยว บาหลี หรือตามเวปท่องเที่ยวต่างๆเกี่ยวกับเกาะบาหลี แต่การจะได้ไปในที่นั้นๆก็คงต้องศึกษามาอย่างดี หรือไม่ก็คงให้ไกด์นำเที่ยว แต่ความเป็นจริงสำหรับผมแล้ว ผมไม่รู้จักบาหลีเลยแม้แต่น้อย ไม่เคยศึกษาเรื่องราวสิ่งใดเหมือนนักเดินทางที่ดี ผมเพียงเห็นบาหลีแค่ผ่านตาระหว่างทางเท่านั้น มันเป็นการมาที่ด่วนและไร้ข้อมูลที่สุดของผมทริปหนึ่งเลยทีเดียว

... บาหลีสำหรับผม มันจึงต่างกับจินตนาการที่ผมรับรู้เรื่องราวมาบ้างเพียงน้อยนิดมาก ทริปนี้ที่บาหลี ผมเห็นแต่ชายหาดและนักโต้คลื่นมากมายที่เฝ้ารอคลื่นโหมสาดเข้าหาฝั่งลูกแล้ว ลูกเล่า ผมเห็นวัฒนธรรมแบบในหนังสือรวกๆ ตลอดรายทาง แต่ก็มากเสียจนเกินคำว่าพอใจ ผมรู้สึกเริ่มเข้าใจตนเองขึ้นมาอีกขั้น สรุปแล้วผมคงเป็นนักท่องเที่ยวที่ดีไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ถึงขนาดละเลย เพราะผมเองก็รู้ว่าการเรียนรู้อดีตก็สำคัญมากๆแต่นั่นต้องศึกษาให้รู้กัน จริงๆจังมันใช้เวลามากพอควร จะมาเที่ยวแบบฟ้าสฟู้ดแบบผมคงไม่ได้ สรุปตัวผมเอง ผมจึงชอบที่จะเรียนรู้โลกปัจจุบันมากกว่า โลกปัจจุบันมันสำคัญมากๆสำหรับคนแบบผม ผมกำลังพยายามหยิบจิ๊กซอร์ของโลกมาเรียงร้อยกัน ชิ้นเล็กๆ ทีละชิ้น วันหนึ่งแม้ผมจะไม่สามารถต่อมันได้จนเต็มใบ ผมก็หวังว่าจะเห็นแค่ความโค้งมนของมัน สักเสี้ยวหนึ่ง ก็ยังดี

... ผมบอกตัวเองว่าพอใจกับการเดินทางครั้งนี้มาก ผมได้เดินทางเพราะผมอยากเดินทาง ผมได้เดินทางกับนักเดินทางที่เหลือเชื่อในหลายเรื่อง มีวิธิคิดแบบแตกต่างจากสังคมเดิมๆของผม สายตาผมได้สัมผัสสิ่งใหม่ๆโลกใหม่ๆ สดๆ ไม่จำเป็นต้องรู้ความหมายมากมายของทุกสิ่ง ทั้งหมดในจากอดีตหรือปัจจุบัน แม้บางสิ่งจะรู้ความหมายได้ในภายหลัง แต่ผมตอนนี้ผมก็ได้เห็นมันสดๆ อากาศสดๆ ผมเอามือไปสัมผัสมันได้ ผมเอื้อมมือจับใบไม้แปลกๆฉ่ำฝนที่โบร์กอ ผมเอามือสัมผัสไออุ่นของปลายสุดของไฟ บนยอดภูเขาไฟ เมลาปี ผมสัมผัสแก้มของลูกเสือนักเรียนตัวน้อยๆ เมืองลาวัง หรือบางวันผมปั่นโดยมีตำรวจนำเพื่อบอกทาง และเรื่องมหัศจรรย์อื่นๆอีกนับไม่ถ้วน เรื่องเหล่านี้ผมอยากเก็บใว้บอกเล่าการเดินทางแบบนี้กับลูกหลานผมเอง ด้วยปากของตัวผมเอง ด้วยภาพที่ผมถ่ายเอง อยากบอกลูกหลานผมเองว่าโลกนี้ยังมีที่ว่างสำหรับมิตรภาพเสมอๆ บางทีผมรู้สึกว่าคนเราอยู่ใต้อิทธิพลสื่อมากเกินไป จนมันทำร้ายเราในแทบทุกๆเรื่อง บางเรื่องนอกจากมันจะไม่นำเสนอเรื่องจริงแล้ว ยังนำเสนอแบบกลับด้านซะอีก แต่ผมก็ไม่ได้กำลังบอกให้ใครใช้ชีวิตโดยประมาท หรือมองโลกแบบไร้เดียงสาจนเกินไป ผมคิดว่าผมจะมองโลกแบบที่มันเป็น ไม่เอาแล้ว ประเภท เขาเล่าว่า เขาว่างั้นนะ ผมฉุกคิดได้แค่นี้ก็สุขใจแล้วครับ

อ่านต่อที่นี่ครับ

www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=27&t=164111&start=255

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ผมเคยทดสอบการใช้ชีวิตคนเดียวอย่างยาวนานพอสมควร เพื่อหลีกหนีความขลาดกลัว กลัวแม้สิ่งที่เราไม่เคยมองเห็น หรือ มองเห็นเพียงแค่ภาพถ่ายหรือคำบอกเล่า

คำตอบที่ได้ ผมไม่ควรเชื่อในสิ่งที่เราไม่ได้สัมผัสเองเลย คำว่าเขาเล่าว่า แทบไม่เหลือเค้าของความจริงเลยแม้แต่น้อย แต่วันนี้ทุกคนกลับกลัวในคำบอกเล่า กล่าวร้ายและเกลียดชังกันได้เพียงแค่ได้ยินคำบอกเล่า และมองเห็นได้จากตู้สี่เหลี่ยมที่เราเรียกว่าทีวี สื่อต่างๆ น่าสงสารจริงๆ ผมคิดว่า เราสามารถค้นหาความจริงได้ง่ายๆเพียงเดินทางไปหามัน ค้นหาก้นบึ้งของความเกลียดชังนั้นๆในใจเรา เพื่อให้เข้าใจได้ว่าสิ่งที่เราเลือกเกลียดนั้นมันถูกต้องแล้ว แต่ถึงเวลาถ้าเราทำแบบนั้นได้จริงๆ เมื่อเราเข้าถึงศูนย์กลางของความเกลียดชังนั้นแล้ว คนที่เราเกลียดชังมากที่สุด อาจเป็นตัวเราเอง....จงเดินเข้าไปหามัน อะไรที่เราเกลียดและกลัว และเข้าถึงมันให้ได้จริงๆ
แก้วมังกร ในที่จำกัด

สมมุติว่า ผมคือคนแปลกถิ่น


ผมลองมองหาเรื่องราวไกล้ๆตัว พยายามมองด้วยสายตาที่ทำให้เรื่องไกล้ตัวเป็นเรื่องน่าสบายตา ตื่นตาแบบเรียบง่าย เป็นประเทศไทย... ตื่นตา ไม่ใช่ตื่นเต้น!!! ลองดู จะทำไปได้แค่ใหน

วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553

ค้นรูปเก่า เล่าความหลัง


...บรรยากาศประเทศเราวันนี้หมองเศร้าพิกลครับ ขอคุยเรื่องเก่าเล่าความหลังสักนิดครับ
...เมื่อวันสงกรานต์ผมมีโอกาสกลับไปรื้อค้นบ้านเก่าอย่างจริงจัง ผมเจอภาพเก่าๆของผมจำนวนหนึ่ง บางภาพดูแล้วขำ ฮา บางภาพดูแล้วทำให้นึกถึงประเทศไทย
...ผมจำได้ว่าภาพนี้ถ่ายเมื่อราวๆปี2527 ผมกับเพื่อนๆเดินทางโบกรถเหมือนเสรีชนท่องเที่ยวทั่วไป ผมไปเมืองกาญฯ ออกชายแดนไทยที่ด่านเจดีย์สามองค์ เดินเท้าและโบกรถไปถึงเมืองเมาะละแหม่ง ประเทศพม่า แต่ในตอนนั้นเป็นเขตปกครองของชาวมอญอิสระ,กระเหรี่ยงและมุสลิมอิสระ (กลุ่มมุสลิมอิสระตอนนี้อาจจะมีชื่อว่า "โรฮิงญา")..
...พวกเขาสามชนเผ่าต่างเรียกร้องดินแดนและการปกครองที่มีเสรีภาพไม่เท่าเทียมกัน จากผู้ปกครองชาวพม่า เราพักและแลกเปลี่ยนพูดคุยในหลายๆเรื่อง ผมจำได้ลางๆว่าเราพักอยู่ที่นั่นสองถึงสามวัน และหากจะเดินทางไปเที่ยวย่างกุ้ง สามารถลักลอบนั่งเกวียนไปได้โดยใช้เวลาประมาณสองถึงสามวัน เราและเพื่อนๆไม่มีค่าใช้จ่ายพอ ในที่สุดก็ไม่ได้ไป แต่หลังจากที่เราโบกรถกลับจนถึงกรุงเทพฯแล้วเพียงสองวัน เราได้ข่าวจาก นสพ.ไทยรัฐหน้าข่าวต่างประเทศ ลงข่าวเป็นข้อความเล็กๆสั้นๆ ว่าที่ๆเราไปและเพิ่งจากมาเพียงสองวันนั้น ถูกทหารพม่าโจมตี เผาหมู่บ้านแทบไม่เหลือซาก ผมจึงไม่แน่ใจว่าจะมีใครในรูปนี้เสียชีวิตในเหตุการณ์นั้น ไปบ้างหรือเปล่า
...จะว่าไปเท่าที่ผมคุยกับเขาเหล่านั้นจริงๆแล้ว ทหารพม่าก็มาเผาที่นี่แทบจะปีเว้นปีอยู่แล้ว พวกเขารู้และเตรียมใจ พวกเขาทำที่อยู่อาศัยง่ายๆด้วยไม้ไผ่สาน หลังคามุงจาก ทหารพม่าเผาวันนี้ แทบจะพรุ่งนี้เขาก็เริ่มสร้างมันขึ้นมาใหม่ใด้ มันเป็นวัฐจักรแบบนี้แบบปีเว้นปี
...รัฐบาลพม่าพยายามกำจัดพวกเขาปีแล้วปีเล่า ซึ่งถึงตอนนี้ปี2553 ถึงแม้พวกเขาจะอ่อนล้าหลังจากที่รัฐบาลทหารพม่าตีค่ายมาเนอปลอแตก และนายพลโบเมี๊ยะได้เสียชีวิตลงภายหลังจากโรคประจำตัว แต่รัฐบาลทหารพม่าก็ยังไม่ประสพความสำเร็จในการปราบปรามพวกเขาเลยครับ ตอนนี้ผมเลยไม่รู้ว่า ประเทศไทยเรากำลังตามหลังประเทศพม่าอยู่รึเปล่า ไม่แน่ใจจริงๆ เรามาช่วยกันตั้งสติแล้วศึกษากรณีการสู้รบพม่ากับชนกลุ่มน้อยกันดีมั๊ย ถึงแม้สาเหตุที่มา ที่ไปจะไม่เหมือนกันซะทั้งหมด
....ก่อนที่รัฐบาลจะใช้คำว่าผู้ก่อการร้ายแบบพร่ำเพรื่อ จนอาจจะก่อให้เกิดผู้ก่อการร้ายจริงๆทั่วประเทศ เพราะถึงตอนนั้น รัฐบาลนี้คงไม่ได้อยู่รับผิดชอบแล้ว และมันอาจจะกลายเป็นปัญหาเรื้อรังของประเทศไทยไปอีกนานแสนนาน

วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2553

ชวา-บาหลี/I n d o n e s i a


...เมื่อหลายเดือนก่อนผมมีโอกาสได้พบนักจักรยานชาวอังกฤษโดยบังเอิญก็ "แซม"แหละครับ และเพราะวันนั้น มันเลยเป็นที่มาของทริปนี้ครับ จริงๆแล้วปีนี้ผมไม่ได้มีแผนมาปั่นที่อินโดฯเลย ผมมีแผนปั่นไปประเทศอื่นไว้แล้ว แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ จากวันนั้นผมกับบุญเลิศปั่นไปส่งแซมที่กรุงเทพฯ เราคุยกันเล่นๆว่า ไม่แน่นะ เราอาจไปร่วมทริปด้วย เราแค่คุยเอาขำ แซมก็ฮา แต่แซมไม่ฮาเปล่าๆ เอารูปเราสามคนไปลงนสพ.New straits times ของอังกฤษ สาขามาเลเซียซะอีก ผมละงง รูปอื่นมีเป็นพันๆทำไมแซมเลือกรูปนี้
คลิ้กอ่านต่อที่นี่เลยครับ


... I met Sam Gambier, a British world-touring cyclist, by pure chance. That was the beginning of my journey in Indonesia. I didn't actually have a plan to visit Indonesia at that time since I already had in mind a biking trip in another country. However, anything could happen out of nothing. While Boonlert, a close friend, and I accompanied Sam while he biked from Ayutthaya to Bangkok, we joked that we might join Sam in the Indonesian leg of his world tour.

Sam laughed when I explained our supposed joke to him. It was hilarious at that time among us. But Sam not only had fun with us about that joke, he supplied a photo of the three of us in Ayutthaya for The New Straits Times newspaper in Malaysia. That perplexed me for a while since he had with him thousands of shots along his travelling but he selected this particular shot for the paper.

The photo is on a Thai webboard post here: viewtopic.php?f=27&t=164111&p=1981547#p1981547

วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553

My Indonesia


...เดิมๆตั้งใจจะเอาภาพนักจักยานพเนจรชาวอินโดฯท่านนี้ขึ้นเป็นไตเติ้ล ในการบรรยายทริปในwww.thaimtb.com แต่กลัวเพื่อนๆสับสน เลยต้องหารูปอื่นๆแทน ผมทึ่งกับนักจักรยานพเนจรผู้นี้มากๆ ที่นี่ภูเขาสูงชัน ยังนึกไม่ออกว่าแกปั่นขึ้นมาได้อย่างไร เสียดาย วันนั้นผมก็ลืมถามซะนี่

...ในที่สุดก็ได้แบบปก เสียดายที่ขาดจักรยานของแซมไปหนึ่งคัน เลยไม่ครบสามคัน แต่ก็มีภาพรองปกแล้ว เป็นภาพสามเรา

... This photo of an Indonesian biking nomad was intended as a cover picture in my post on the Indonesian journey at: http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=27&t=164111 , but I was afraid it would confuse my readers. This nomadic biker impressed me to a great extent and gained my big respect. That was a huge mountain in my thinking and I couldn't imagine how he brought his vehicle up there. It's a pity I forgot to ask him about that.

The top photo was then selected for the cover but it was without Sam's bike. However, all thee of us appear in the second photo.



วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2553

Cycling Around the World and Across Indonesia, for Charity

Sam Gambier with police in Sumatra. (Photo courtesy of Sam Gambier)

แซมกล่าวถึงผมและบุญเลิศ ในการให้สัมภาษณ์ กับ นสพ.Thejakartaglobe/Indonesia

“Almost all of my clothes are torn apart. Mook and Boonlert bought me some new T-shirts,” he said, referring to Thai friends who had provided him with fresh clothes. Gambier met Mook and Boonlert last year at a bar in Bangkok, during the Thailand leg of his journey. The two asked if they could accompany him on part of his quest to cycle the world, with the three agreeing to meet up in Jakarta. “Other than preparing themselves for a cycling competition, they also want to improve their English,” Gambier said.

...อ่านต่อคลิ้กที่ลิ้งข่าวครับ

http://www.thejakartaglobe.com/home/cycling-around-the-world-and-across-indonesia-for-charity/358765

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

. . "เสื้อผ้าผมขาดวิ่นหมดทุกตัว มุกและบุญเลิศช่วยซื้อเสื้อยืดใหม่ๆให้ผม" เขาเล่าถึงเพื่อนชาวไทยที่เอื้อเฟื้อช่วยซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆให้ใช้ แกมเบียร์พบกับมุกและบุญเลิศเมื่อปีที่แล้ว ณ บาร์แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ (ที่ถูกคืออยุธยา) ระหว่างช่วงเดินทางในประเทศไทย เพื่อนทั้งสองเอ่ยว่าอยากร่วมปั่นด้วยกันสักช่วงหนึ่งในการพยายามปั่นเดินทางรอบโลกของเขา แล้วทั้งสามก็ตกลงนัดพบกันที่จาการ์ตา "ทั้งสองต้องการเตรียมตัวฝึกซ้อมเพื่อปั่นแข่งขัน และอยากฝึกฝนภาษาอังกฤษด้วย" แกมเบียร์กล่าว

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Merapi


.... มีราปี ภูเขาไฟที่ยังที่ตื่นทุกวัน เราสามคนปั่นขึ้นเขาตั้งแต่เช้า ถึงที่พักตอนประมาณ 5 โมงเย็น เราอาบน้ำ เดินเล่น คลายเส้น แล้วรีบเข้านอน เพื่อจะตื่นให้ทันตี 1 ของวันใหม่ เพื่อเดินขึ้นสู่ส่วนสุงสุด ที่สูงประมาณ 2914 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ผมนอนไม่หลับเลย ตี 1 เราถือไฟหน้าจักรยาน ส่องทางที่มืดมิด บางครั้งต้องไต่กันแบบสี่ขา กว่าจะถึงยอดเขาก็เกือบๆตี 5 เป็นเวลาที่ท้องฟ้ายังมีแสงสีฟ้าคราม ก่อนจะค่อยๆกลายเป็นสีส้ม มันงดงามเกินบรรยาย

เราอยู่สูงกว่าเมฆมากๆ ด้วยอุณหภูมิน้อยกว่า 14 องศา ท่ามกลางไอที่พวยพุ่งของมีราปีรอบๆตัวเรา เราและ เพื่อนร่วมทางต่างเอามือ หน้า ส่วนต่างๆของร่างกาย อิงอุ่นคลุกเคล้ากับใอสีขาวที่ล่องลอยมาจากความร้อนอันลึกล้ำใต้โลก บรรเทาความหนาวเย็น บรรเจิด มันทั้งบรรเจิด น่าตื่นเต้นและตระการตามากๆ ผมหาคำเปรียบความมหัศจรรย์ใหม่ ที่ผมเพิ่งได้สัมผัส ไม่ได้ดีกว่าคำพวกนี้จริงๆ

สองชั่วโมงประมาณนั้น เราไต่ลงเขา อีกประมาณเกือบๆสี่ชั่วโมง ถึงที่พักประมาณ 11 โมงเช้า เพื่องีบสักหนึ่งชั่วโมง ก่อนจะปั่นออกไปยังเมืองข้างหน้าที่อยู่ห่างไปอีก 117 กม. เป็นวันหนึ่งที่เป็นที่สุดของที่สุดสำหรับทริปนี้ แต่มันสุดคุ้มเพราะมัน บรรเจิดในใจ สว่างไสวเจิดจรัสมากๆ สำหรับชีวิตที่แสนสั้นของผม หากเทียบกับความยืนยงอมตะของมัน "มีราปี"
"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
Merapi, a very active volcano. On that particular day the three of us cycled uphill from early in the morning and arrived at the resort around 5p.m. After warming down by walking around and taking a bath we went to bed early in order to get up at 1a.m. for a trekking to the volcano's summit of about 2,914m MSL. I couldn't sleep at all. At one o'clock we took along with us bike torchlights and started climbing the height, part of which we had to crawl on all fours. We reached the summit at 5 o'clock close to sunrise. The sky was still dark blue at first light then slowly turned into deep and light orange. A beauty beyond my expression.Being much higher above the cloud at Merapi's summit we were, amidst 14 degrees Celcius, engulfed in the crater's belching vapour. All visitors tried to embrace the warmth of the mystical, white subterranean vapour with our hands, faces and all parts of the body. It was magnificent and spectacular especially for me. A very striking, marvelous experience that I couldn't find proper words to describe what I had seen and touched.After two hours on the crater, we took four hours for a descent and arrived at the house at 11a.m. With about an hour's rest we cycled for another 117km to the next town. This was one of a harshest days on this cycling trip but I thought it was really a worthwhile effort. The splendid feeling on the Merapi crater has always rekindled up in my mind all the time. It is a very, very bright and vibrant experience in my rather short life, in comparison with the immortal Merapi.***************************************************************

Thank you Sam



... เราสามคนใช้ชีวิตที่แตกต่างกว่าทุกๆวัน มันเป็นประสบการณ์ที่เยี่ยมมากๆ สำหรับผมถึงแม้ทริปนี้จะไม่ยาวนานเท่าทริปปั่นไปปักกิ่ง ที่ใช้เวลาเดินทาง 51วัน กับ เกือบๆ4500กม.แต่ทริปนี้ก็เป็นทริปที่ได้ใช้ชีวิต ได้สัมผัสจิตวิญญาณ ความมุ่งมั่นและ อุดมการณ์ของนักจักรยานทัวร์ริง ที่เดินทางรอบโลก ชาวต่างชาติ เป็นครั้งแรก ด้วยระยะทาง 1600km กับเวลา21วัน เพียงพอที่เราจะได้ศึกษาวัฒนธรรมในความต่าง ในความเหมือนของกันและกัน

... แต่สำหรับแซม มันคงเป็นเพียงช่วงหนึ่งของการเดินทางของแซมเท่านั้น ผมได้ร่วมพลอยภูมิใจกับแซมไปด้วย ที่แซมปิดทริปจบทวิปเอเซียที่บาหลี ก่อนแซมจะบินไปยังออสเตเลีย ตามแผนการเดินทางรอบโลกของแซม ... ผมได้ล่ำลาแซมที่สนามบินเพื่อกลับเมืองไทย แซมโอบกอดผม มันคงเป็นวัฒนธรรมที่ผมไม่ค่อยคุ้น แต่ก็รู้สึกถึงความเป็นเพื่อนอย่างที่สุด ...แซมจะเป็นเพื่อนที่ยิ่งใหญ่สำหรับผมตลอดไป ลาก่อนเพื่อนรัก เราคงได้เจอกันอีก ขอให้เพื่อนเดินทางบรรลุสมความตั้งใจ และปลอดภัยตลอดเส้นทาง

ติดตามการเดินทางของ"แซม"ได้ที่นี่ครับ http://cyclertw.blogspot.com/

... We had quite memorable experience together from this biking journey in Indonesia. For the three of us, all days were different, much different than our everyday life. In my own comparison, although this biking trip wasn't as long as the one I ventured to Beijing for 4,500 km in 51days, however on this journey I had an opportunity to witness for the first time a world touring foreign cyclist's travelling spirit with his strong determination and beliefs. This 1,600km, 21-day biking trip was sufficient for all of us to have explored one another to understand our similarities and differences.

Regarding Sam Gambier, this might only be just a leg of his world travelling project. I took a pride with him on this leg of his greater journey that he closed his Asian biking trip in Bali before flying on to Australia. We said farewell at the airport before I took a flight back to Thailand. He gave me a bear hug, a custom I wasn't very familiar with, but I could feel heartfelt friendship between us. He would always be my great friend. Goodbye Sam. We will meet again. Wishing you all the best to accomplish the journey safely.

Sam's journey on display at: http://cyclertw.blogspot.com/

Bromo Indonesia

โบรโม ภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ เราปั่นไต่ขึ้นภูเขาที่ชันมากๆอีกลูกเพื่อดูมัน ก่อนที่เราจะดาวน์ลงมา เราปั่นลอดสายหมอกเบื้องล่างไปสัมผัสโบรโมไกล้ๆ ไม่ง่ายนักเพราะเส้นทางที่จะไปนั้น มันเป็นทราย เราปั่นตุปัดตุเป๋ไปเรื่อยๆ บางช่วงต้องเข็นเพราะล้อเราจมทรายจนไปไม่ได้ คนอื่นน่ะเหรอ ไม่ขี่ม้าก็รถจี๊ป มีฮัมเมอร์วิ่งส่วนทางเราไป พวกเขาแปลกใจนิดหน่อยเมื่อเห็นเราปั่นจักรยานในเส้นทางเดียวกับเขา โบรโม มันเป็นส่วนหนึ่งในโลกที่ตระการตามากๆ ไม่แพ้มีราปี แต่ผมกลับติดใจ มีราปีมากกว่า ด้วยว่าเส้นทางที่จะได้ชมมัน สุดโหดจริงๆ





วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ม้าดำ Black In Black Version







...กว่าจะได้ดำขนาดนี้ หาของดำมาเป็นเดือนๆครับ ที่หายากจริงๆก็ดุมกับล้อขนาด700c 36รู นี่แหละ อีกสองวันผมกับบุญเลิศจะเดินทางไป ประเทศอินโดนิเซียแล้ว ทริปจาการ์ต้า-บาหลี การเดินทางครั้งนี้ ฉุกละหุกจริงๆ กลับมาจะเก็บภาพและเรื่องราวมาฝากครับ

วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553

คู่ขาคุณชื่ออะไรครับ




ผมขอประเดิมก่อนเลยละกันในรูปเป็น เจ้าสีนิล ป่านนี้งอนไปแล้ว...ไม่เคยได้พาไปออกกำลังเลย เดี๋ยวหายดี จะพาไปลงแทรคซักหน่อย "เจ้าสีนิล"(Giant XCT)ม้าตัวแรกของผม คู่ขาหัดปั่น ตั้งแต่เริ่มแรกเลยครับ...ไม่ว่าจะแข่ง จะซ้อมแทรค ออกทริป100upกับเพื่อนๆหลายชมรม เรียกว่า นับครั้งไม่ถ้วน

"เจ้าสำรวม" (แกงโฮ๊ะ)..........."ม้าสำรวม"(Garyfisher Wahoo)ผ่านการเดินทาง ทริปลาวตอนเหนือ"หลวงพระบาง-เวียงจัน" ....ทริป "เวียงจัน-น้ำพาว-เว้-ฮานอย-ซาปา" ตอนนี้กลายป็นม้าทางเรียบไปแล้ว เดี๋ยวมีเวลาจะลงรูปล่าสุดให้ชมครับ ...สาเหตุที่ชื่อ"สำรวม"เพราะว่า เดิมๆสมัยยังไม่มีชื่อ ผมกะจะเอาไว้ขึ้นเทรนเนอร์อย่างเดียว ก็เลยใช้อะหรั่ยพื้นๆที่เพื่อนไม่ใช้ บริจาคบ้าง ขอเอาดื้อๆบ้าง เป็นม้าที่ถูกเปลี่ยนแปลง สมรรถนะเพื่อรองรับภาระกิจที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงตลอดมา แม้วันนี้จะเป็นม้าที่เร็วที่สุด หนึ่งในลูกรัก แต่สำรวมพร้อมเปลี่ยนแปลงเพื่อภาระกิจใหม่ๆอยู่เสมอ ...เหมือนเดิม...ครับ

"เจ้าม้าดำ"(Trek 520)
.....ม้าลูกรัก ล่าสุด อายุยังไม่ครบขวบดี จัดมาเพื่อรองรับ ทริปยาวๆโดยเฉพาะ เป็นม้าที่ผมใช้ปั่นมาทำงานเกือบจะทุกวัน เป็นม้าที่มีออฟชั่นเหมาะกับทางเดินทางและใช้งานอย่างหลากหลาย จะใช้ปั่นมาทำงานก็เหมาะมาก ...เพิ่งจะได้ออกทริปแรกกะเค้า ก็เจอทริปโหดสุดๆไปเลย ก็ทริปนี้....กับเรื่องดีๆมากมาย.....
(คลิ้กชมคู่ขาอีกมากมายที่นี่ครับ)

http://www.thaimtb.com/cgi-bin/viewkatoo.pl?id=55970

วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2553

ปอยเปต-เสียมเรียบ-พนมเปญ-ไพลิน CAMBODIA





........................สวัสดี เพื่อนๆนักปั่นทุกคนครับ วันนี้ผมมีทริปปั่นท่องเที่ยวต่างแดนมาให้เพื่อนๆอ่านเล่นๆคลายเหงาครับ ...หลังจากผมจบทริปปั่นไปปักกิ่ง ถึงวันนี้ปีกว่าๆแล้วครับ วันเวลาผ่านไปเร็วจัง ...ผมตั้งใจเอาไว้ กับตัวเองเล่นๆ เป็นนโยบาย ขำขำเอาไว้ว่า ผมจะมีทริปเดินทางไปต่างประเทศ ปีละประเทศ ถ้าทำได้..ส่วนจะทำได้จริงหรือ โอกาสไม่อำนวย ทำไม่ได้ก็เป็นอีกเรื่องครับ.ปี2009นี้ ผมนั่งนึกๆว่าปีนี้จะไปใหนดี ทริปปีนี้ อาจเกินสิบวันได้แค่เล็กน้อย ตามสภาพเศรษกิจของตัวผมเอง บ้านไกลเรือนเคียงกับเรา ไกล้ๆก็มี มาเลเซีย,สิงค์โปร์,อินโดนิเซีย,พม่า,กัมพูชา...ในจำนวนประเทศเหล่านี้ ใจผมเอนมาทางกัมพูชาเป็นอันดับแรกๆเพราะ มีสถานทีสำคัญน่าสนใจ ที่ผมอยากไปสัมผัสมานานแล้ว อย่าง ปราสาทนครวัด กลุ่มปราสาทอื่นๆ เมืองหลวงพนมเปญ ซึ่งมีประวัติศาสตร์มากมาย อีกทั้งค่าใช้จ่ายคงไม่สูงนัก มากสุดคงเท่ากับเที่ยวเมืองไทย และช่วงเดือนนี้ ผมเดาๆว่า ที่ประเทศกัมพูชา ท้องฟ้าก็คงจะสวยงามมากเหมือนเมืองไทย ...ก่อนหน้านี้ผมเคยคิดวางแผนจะปั่นจากไทย-กัมพูชา และไปเจอเพื่อนๆร่วมทริปของคุณธานินทร์ ที่ปั่นกลับจากเวียตนาม-ไทย เข้าลาวใต้ แต่แผนนี้ ผมก็ล้มมันไปซะก่อน...ในที่สุด คำตอบสุดท้าย เป้าหมายชัดเจนไม่เปลี่ยนแล้ว วัตถุประสงค์ ปั่นไปถ่ายภาพ"นครวัด"แวะเที่ยว"พนมเปญ"ชมวิถีชีวิตชาวกัมพูชา..ว่าแล้วก็เตรียมลุยเลยครับ ..ตามภาษิตชาวกัมพูชาที่ว่า "ตะเลาะ มัน เกย ร็อต รัว กระเบ็ย" แปลเป็นไทยว่า "ปลักไม่เคยวิ่งไปหาควาย"(อ่านรายละเอียดที่ลิ้งค์ครับ)

เชียงของ-หลวงน้ำทา-ซาปา-ปักกิ่ง Thailand-Beijing China

สวัสดีชาวเสือนักปั่นทุกท่าน...วันนี้ ผมมีภาพพร้อมคำบรรยาย ทริปปั่นจักรยานทางไกล มาฝากครับ..ยาวหน่อยนะครับ เริ่ม ยังไงดีล่ะ ..เขียนเรื่องก็ไม่เก่งซะด้วย ..งั้นเริ่มที่ต้นแบบนี้ละกัน ...ก็ความฝัน ความอยากน่ะแหละครับ อยากปั่นไปไกลๆ อยากผจญภัย อยากมีชีวิตอิสระ สารพัดเหตุจะอยาก อะไรๆประมาณนี้แหละ ผมว่าเพื่อนๆหลายคนก็คงมีความอยาก ความฝันแบบผม ว่ามั๊ย ..ทำแต่งานงาน งาน...อะไรจะขนาดนี้ ชีวิต!!!..เวลาผมนั่งนิ่งๆ ผมคิด...ชีวิตมันต้องหนีความจำเจ เปิดตามองหาแนวการย่ำเดินของชีวิตใหม่ๆซะบ้าง ผมอยากจะหลุดจากวงจรการทำงาน การใช้ชีวิตประจำวัน ลองใช้ชีวิตอีกแบบ ที่มันไม่มีแบบแผน อย่างที่ตัวผมเองปฎิบัติ ซ้ำๆทุกวัน อย่างน้อยก็ ซักครั้งหนึ่ง ซักสักระยะหนึ่งในชีวิต ผมอยากรู้สึก อยากรับรู้ถึง"การเปลี่ยนแปลงชีวิตแบบฉับพลั้นทันที" ...ผมเริ่มหมุนเข็มทิศ หาเป้าหมายการเดินทาง ถ้าฝันอยากจะปั่นไป อยากเดินทางไปที่แห่งใดในโลก ถ้าถามผม ผมคงฝันถึง"ทิเบต ดินแดนภูเขาสูงและหนาวเหน็บ"เป็นแห่งแรก ผมประเมินตัวเองบวกความบ้าที่รู้ตัวดี เออ ผมคงไปได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะตลอดรอดฝั่งรึเปล่า5555... เมื่อได้ที่หมาย "ทิเบต" ผมใช้เวลามากกว่าหกเดือน ในการหาข้อมูลการเดินทาง และเตรียมอุปกรณ์ แต่แล้วก็เกิด จิตสับสน คิดและบอกตัวเอง "ไปปักกิ่งซิ โอลิมปิกพอดี" โอกาสนี้ มันก็มีแค่ครั้งเดียว ที่จะมีโอลิมปิกใกล้บ้านเรามากที่สุด ใกล้ซะ จนสามารถปั่นจักรยานไปได้ (อ้างซะแบบนี้ จริงๆที่ใหนก็ปั่นไปได้นิ555)...แต่สุดท้ายผมเลือกเส้นทาง"ลาว-ทิเบต-เนปาล" เหตุผล ทิวทัศน์สวยงาม เขาสูงชัน ท้าทายความรู้สึกผม มากๆและระยะทาง บวกระยะเวลาที่สั้นกว่าผมว่า ทิเบตนี่นอกจากผมแล้ว ยังเป็นเส้นทางในฝันของนักปั่นจำนวนมาก ผมเลือกเดินทาง เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม ซึ่งคาดว่า ที่ทิเบต อากาศน่าจะหนาวเย็น น้อยที่สุดแล้ว.. ...ผมเริ่มหาของใช้ในการเดินทาง สำหรับภูมิประเทศที่สูง,หนาวเหน็บ,อากาศเบาบาง ที่ซึ่งบางวันอาจจะไม่มีที่พัก,ไม่มีร้านอาหาร ทั้งถุงนอนและเต้นท์ ที่ผมสรรหาล้วนแต่ ทำมาเพื่อรองรับอุณหภูมิ 0องศา ถึง-15องศา...แต่ด้วยเหตุผล ที่อะไรก็เกิดได้ในโลกกลมๆใบนี้ เกิดเหตุการณ์ประท้วงที่ทิเบต ต่อมาเริ่มบานปลายจนหุบไม่ลง ..ไม่จบ และน่าจะจบยาก "โอ๊ตน์ นน"เพื่อนคราวน้อง ที่เปิดร้านสปริ้นส์คาเฟ่ อยู่ทิเบต ซึ่งผมติดต่อ อยู่เรื่อยๆ ก็บอกตอนนี้"ทิเบต"แทบเป็นเมืองปิด ร้านกาแฟของน้องเค้าเอง ยังต้องนั่งตบยุง(มียุงเปล่าไม่รู้นะ) แต่ถ้าผมจะไป ก็ไปได้ แต่ต้องนั่งรถโดยสารไป..อืมม..ถ้านั่งรถโดยสาร ผมคงไม่ไปหรือถ้าไป ก็ไม่ใช่อารมณ์นี้..สุดท้ายก็ต้องจำยอม คิดได้แค่ว่า ฝากใว้ก่อนละกัน..ลาซา ทิเบต(คลิ้กอ่านลายละเอียดที่ลิ้งค์ครับ)

http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=27&t=3836